เมนูนำทาง
Fire Emblem ระบบการเล่น(Gameplay)เกมในชุดไฟร์เอมเบลมเป็นเกมแนวผลัดกันเดินกลยุทธ(turn-based tactics) ที่มีจุดมุ่งหมายในการเคลื่อนตัวละครไปในแผนที่ตามตาราง เพื่อเอาชนะฝั่งตรงข้าม ผู้เล่นใช้การเคลื่อนที่เชิงยุทธศาสตร์ และการวางตำแหน่งเพื่อบรรลุเป้าหมายในแต่ละฉาก ได้แก่ ยึดฐาน(seizing a base)[7], อยู่รอดตามจำนวนรอบที่กำหนด(surviving for a number of turns), หรือเอาชนะหัวหน้าฉาก(defeating a boss) ส่วนประกอบพื้นฐานหลายส่วนของแนวเกมสวมบทบาท(role-playing game) สามารถพบได้ในเกม ยกตัวอย่างเช่น การขั้นระหว่างฉากด้วย ฉากขั้น(cut scene) เพื่อใช้ในการดำเนินเรื่อง ตัวละครมีการเก็บเกี่ยวค่าประสบการณ์และแข็งแกร่งขึ้นตามการเล่น ผู้เล่นสามารถเข้าไปยังร้านเพื่อซื้ออาวุธ และเครื่องมือต่างๆให้ตัวละคร[8] ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละภาคว่า จะสามารถซื้อได้ในระหว่างฉาก หรือว่าซื้อได้ในฉากต่อสู้
รูปแบบระบบการต่อสู้ของเกมนั้นมีพื้นฐานจากหลักการ ค้อน-กรรไกร-กระดาษ โดยที่อาวุธแต่ละชนิดจะมีความได้เปรียบ และเสียเปรียบอาวุธชนิดอื่น ตั้งแต่ในภาคที่สี่ ไฟร์เอมเบลม:Seisen no Keifu, ความสัมพันธ์สามเส้าของอาวุธ(weapon triangle) อยู่ในรูปแบบของ ทวน(lance)ชนะดาบ(sword), ดาบชนะขวาน(axe), และ ขวานชนะทวน[9] ส่วนธนูนั้นไม่อยู่ในความสัมพันธ์ดังกล่าว โดยสามารถโจมตีจากระยะไกล และสร้างความเสียหายอย่างมากเมื่อใช้โจมตีตัวละครที่บินได้ เช่น เปกาซัส(Pegasus) แต่ธนูก็มีจุดด้อยที่ไม่สามารถตอบโต้การโจมตีระยะประชิดได้ สำหรับในเวทมนตร์นั้นก็มีความสัมพันธ์สามเส้าเช่นเดียวกับอาวุธ ซึ่งรายละเอียดจะแตกต่างกันไปในแต่ละภาค โดยในไฟร์เอมเบลมทุกภาคที่ลงในเกมบอยแอดวานซ์ เวทย์แสงสว่าง(light)ชนะเวทย์ความมืด(dark), เวทย์ความมืด(dark)ชนะเวทย์ธรรมชาติ(anima), และ เวทย์ธรรมชาติชนะเวทย์แสงสว่าง[10] ในภาคอื่น เวทย์ไฟ(fire)ชนะเวทย์ลม(wind), เวทย์ลมชนะเวทย์สายฟ้า(thunder), และเวทย์สายฟ้าชนะเวทย์ไฟ ความพิเศษของเวทมนตร์ก็คือนอกจากใช้โจมตีจากระยะไกลได้แล้ว ยังสามารถใช้โจมตีระยะประชิดได้อีกด้วย
ข้อแตกต่างที่พบได้จากเกมชุดนี้ ที่แตกต่างจากเกมอื่นๆในแนวเดียวกันก็คือ อาวุธโดยส่วนใหญ่ในเกมชุดไฟร์เอมเบลมมีจำนวนครั้งในการใช้งานจำกัด และสามารถพังได้ ดังนั้นบ่อยครั้งที่ผู้เล่นต้องซื้ออาวุธเพื่อผัดเปลี่ยน หรือเสียเงินซ่อมอาวุธที่เสียหาย[7] ปกติมักพบว่าอาวุธที่มีอานุภาพด้อยกว่า จะสามารถใช้งานได้มากครั้งกว่าอาวุธที่มีอานุภาพมากกว่า
แตกต่างจากเกม Advance Wars และเกมแท็กติกสวมบทบาทเกมอื่นเช่น Final Fantasy tactics ที่เกมในชุดนี้ไม่มีอนุญาตให้ผู้เล่นสร้างตัวละครของตนเอง แต่ไฟร์เอมเบลมอาศัยการจัดวางตัวละครที่มีความแตกต่างหลากหลาย แต่ละตัวละครอาจมีอาชีพหนึ่งอาชีพใดจากหลากหลายอาชีพในเกม มีบุคลิก และอดีตเฉพาะตัวของแต่ละตัวละคร[2] สำหรับขนาดกลุ่มของตัวละครนั้น ผู้เล่นจะเริ่มจากกลุ่มตัวละครที่มีขนาดเล็กในช่วงเริ่มเกม และจะค่อยๆเพิ่มจำนวนขึ้น จากตัวละครที่เข้าร่วมกลุ่มเพิ่มเติม ไม่ว่าจากเหตุการณ์ในเนื้อเรื่อง หรือผลสืบเนื่องจากการกระทำบางอย่างของกลุ่ม ในเกมภาคหลังๆนั้น อาจมีตัวละครที่เล่นได้ตั้งแต่ระดับสามสิบตัวละคร ไปจนถึงเจ็ดสิบตัวละครได้เลยทีเดียว[11]
การใช้ตัวละครในการต่อสู้ทำให้ตัวละครได้รับค่าประสบการณ์ เลเวล(level)ของตัวละครจะเพิ่มขึ้นหลังจากมีค่าประสบการณ์ครบ 100% การเพิ่มเลเวลของตัวละครในกลุ่มถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง เนื่องจากตัวละครที่เพิ่มเข้ามาใหม่นั้น หลายตัวมีเลเวลตัวละคร และค่าสถานะ(statistics)ที่ดีกว่า[12] อย่างไรก็ตาม เนื่องจากค่าประสบการณ์ที่ได้จากการชนะศัตรูนั้น คิดจากความแตกต่างระหว่างเลเวลของตัวละคร กับ เลเวลของศัตรู ส่งผลให้ตัวละครที่มีระดับเลเวลต่ำกว่าจะได้รับค่าประสบการณ์ มากกว่าตัวละครที่เลเวลสูงกว่า เมื่อเทียบโดยการโจมตีศัตรูตัวเดียวกัน นอกจากเลเวล และค่าสถานะแล้ว ตัวละครยังมีค่าระดับอาวุธ(weapon level)สำหรับอาวุธแต่ละประเภทที่ใช้ได้ ซึ่งค่านี้จะไล่ตั้งแต่ระดับ E(ระดับต่ำสุด) ไปจนถึง S(ระดับสูงสุด) แต่ในภาค Radiant Dawn นั้นสามารถเพิ่มระดับอาวุธได้ถึงระดับ SS ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่า S หนึ่งระดับ[13] ค่าระดับอาวุธนี้จะเป็นตัวกำหนดระดับอาวุธที่ตัวละครนั้นนั้นใช้ได้ เนื่องจากตัวละครจะใช้อาวุธระดับที่เทียบเท่า หรือต่ำกว่าระดับอาวุธของตัวละครเท่านั้น สำหรับการเลื่อนระดับอาวุธของตัวละครนั้น ทำได้โดยการใช้อาวุธประเภทนั้นซ้ำๆ
เมื่อตัวละครมีเลเวลสูงถึงระดับหนึ่ง ตัวละครนั้นอาจสามารถเปลี่ยนเป็นอาชีพที่แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งขั้นตอนนี้เรียกว่า การเปลี่ยนอาชีพ(promotion) ซึ่งรายละเอียดนั้นขึ้นกับระบบของแต่ละภาค บางภาคตัวละครจะเลื่อนขั้นเมื่อมีเลเวลถึงระดับหนึ่ง[2] บางภาคอาจต้องอาศัยไอเทมพิเศษในการเปลี่ยนอาชีพ สำหรับตัวละครหลักนั้นจะเปลี่ยนอาชีพ เมื่อถึงเหตุการณ์พิเศษที่กำหนดในเนื้อเรื่อง เมื่อเปลี่ยนอาชีพแล้ว ตัวละครจะได้รับค่าสถานะพิเศษเพิ่ม ซึ่งมากกว่าที่ได้จากการเพิ่มเลเวลตัวละคร และ ได้รับความสามารถเพิ่มเติม ที่เป็นความสามารถของแต่ละอาชีพที่เปลี่ยนไปเป็นด้วย
ความรัก และ มิตรภาพ เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปในเนื้อเรื่องหลักของเกมชุดไฟร์เอมเบลม ตั้งแต่ภาคที่หก, Fūin no Tsurugi, ได้มีการเพิ่มความสำคัญของเนื้อหาของบทสนทนา(support conversation) ในเกมภาคที่ลงในเกมบอยแอดวานซ์ บทสนทนาเหล่านี้จะปรากฏเฉพาะกับคู่ตัวละคร ที่จบรอบการเดินโดยการยืนอยู่ข้างๆกันตามจำนวนรอบที่กำหนด หลังจากนั้นผู้เล่นจะมีตัวเลือก เพื่อดูบทสนทนาระหว่างตัวละครทั้งสองตัว ซึ่งบทสนทนาเหล่านี้ในแต่ละคู่จะมีทั้งหมดเพียงสามชุดเท่านั้น สำหรับในภาค Patch of Radiance มีการเปลี่ยนแปลงระบบใหม่ โดยตัวละครไม่จำเป็นต้องยืนติดกันหลังจบรอบการเดินอีกต่อไป เพียงแค่ร่วมต่อสู้ในฉากเดียวกันตามจำนวนฉากที่กำหนดเท่านั้น และในภาค Radiant Dawn ได้เปลี่ยนระบบอีกครั้ง ด้วยการเพิ่มโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ทำให้สามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครคู่ไหนก็ได้ รวมทั้งสามารถล้างความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องการแล้วได้อีกด้วย
ตัวละครที่มีความสัมพันธ์กับตัวละครอีกตัว จะได้รับค่าสถานะพิเศษเพิ่มต่างหาก ซึ่งค่าที่ได้จะขึ้นอยู่กับระดับความสัมพันธ์ และ ธาตุของตัวละคร(character's element affinity)ทั้งคู่ โดยตัวละครทั้งคู่ จะได้รับค่าสถานะพิเศษนี้ ทุกครั้งที่ตัวละครทั้งคู่ยืนอยู่ห่างกันไม่เกินสามช่อง ตัวละครสามารถมีความสัมพันธ์กับอีกตัวละครได้หลายรูปแบบ ทั้งเป็นคนรัก, เพื่อน, หรือความเกี่ยวพันอย่างอื่น ซึ่งถ้าตัวละครทั้งคู่ได้ผ่านบทสนทนาครบสามครั้งแล้ว ผลลัพธ์ของความสัมพันธ์อาจส่งผลต่อตอบจบของเกมได้ เช่น อาจมีการแต่งงานระหว่างตัวละครทั้งสองในตอนจบ หรือการเป็นเพื่อนกันไปตลอด เป็นความสัมพันธ์ที่มีการพัฒนาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หรือในบางครั้งก็นำไปสู่การจากกันอย่างแสนซาบซึ่ง
ตัวละครไฟร์เอมเบลมที่พลังชีวิตหมดลง และตาย จะไม่สามารถนำกลับมาเล่นได้อีก ส่วนนี้ส่งผลต่อการดึงตัวละครอื่นๆ(NPC) และ ตัวละครศัตรู ในอนาคต ดังนั้นถ้าผู้เล่นต้องการใช้ตัวละครดังกล่าว หรือต้องการดึงตัวละครอื่นด้วยตัวละครที่ตายไปแล้ว ผู้เล่นต้องเริ่มเล่นฉากนั้นใหม่ตั้งแต่ต้น นอกจากนี้ เกมจะยุติลง(Game Over) เมื่อตัวละครหลักตาย หรือ จากการที่ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขของที่แต่ละฉากกำหนดได้ จะมีแต่ในกรณีที่พิเศษเช่นที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง ที่ตัวละครที่ตายในการต่อสู้ไม่ได้ตายจริง อย่างไรก็ตามผู้เล่น ก็ไม่สามารถใช้ตัวละครดังกล่าวได้อีกต่อไปจนจบเกม มีเพียงโอกาสที่หาได้ยากจริงๆเท่านั้นที่ตัวละครที่ตายไปแล้ว สามารถนำกลับมาเล่นใหม่ได้อีก ตัวอย่างเช่นใน Fire Emblem ภาคนี้แบ่งเนื้อเรื่องออกเป็นสองส่วน คือ Lyn's tale และ Eliwood's tale(หรือ Hector's tale) ตัวละครจากส่วนของ Lyn's tale ทั้งหมดจะถูกดึงมาในส่วนที่สองทั้งหมด ไม่ว่าตัวละครนั้นจะรอดตายมาจากส่วนแรกหรือไม่ก็ตาม
เมนูนำทาง
Fire Emblem ระบบการเล่น(Gameplay)ใกล้เคียง
Firefox Fireman's carry Fire Emblem Fire engine Fire Force Firefighter Firefighter Daigo: Rescuer in Orange Firework (song) Fire protection engineering Firefighter! Daigo of Fire Company Mแหล่งที่มา
WikiPedia: Fire Emblem